Office Design Knowledge
แนวทางการ ออกแบบออฟฟิศ และเลือกใช้วัสดุ ในการตกแต่งส่วนต่างๆ ของสำนักงานเพื่อให้เกิดความสวยงามและดูเหมาะสมกับสถานที่
การจัดพื้นที่สำนักงาน
การออกแบบตกแต่งสำนักงานมีวิธีการออกแบบดังต่อไปนี้
1. การจัดพื้นที่สำนักงาน
การออกแบบ การวางผังสำนักงานที่ดีเป็นอีกวิธีหนึ่งที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้กับบุคลากรทั้งนี้เพราะการกำหนด
และแบ่งโซนตามความสัมพันธ์ของแต่ละหน่วยพื้นที่นั้นช่วยให้ระบบการทำงานภายในองค์กรดำเนินไปอย่างรวดเร็วและไม่วกวน
ดังนั้นการแบ่งพื้นที่ในการออกแบการทำงานจึงควรศึกษาเรื่องลำดับขั้นตอนในการปฎิบัติงานของหน่วยงานหรือสำนักงานนั้นๆ
และจัดการรวมกลุ่มการทำงานที่คล้ายคลึง กันไว้ด้วยกัน เพื่อทำให้เกิดความคล่องตัวในการทำงาน (WORK FLOW)
และสวยงามเป็นระเบียบเรียบร้อย นอกจากนี้ยังเป็นการจัดกลุ่มเครื่องใช้สำนักงานให้ความ สะดวกต่อการควบคุมงานระบบต่างๆ
เช่น การเดินสายไฟการปรับอากาศ และอื่นๆ ซึ่งผลที่ตามมาเมื่อสำนักงานได้รับการ จัดผังและมีบรรยากาศที่ดีแล้วก็จะทำให้บุคลากรมีสุขภาพและจิตที่ดีเกิดเป็นภาพรวมของความสุขภายในสังคมที่ทำงาน
และนำมาซึ่งความเป็นเอกภาพภายในองค์กร
2. พื้นที่สำนักงาน (OFFICE SPACE)
พื้นที่หลักภายในสำนักงานจะประกอบด้วย ส่วนต้อนรับ ส่วนทำงาน ส่วนประชุม และส่วนบริการต่างๆ
โดยสัดส่วนของการจัดสรรพื้นที่และลำดับความสำคัญในแต่ละส่วนจะแตกต่างกันออกไปตามประเภทหรือลักษณะของธุรกิจนั้นๆ
สำหรับการจัดการกับพื้นที่ภายในสำนักงานจึงเริ่มต้นจาก
2.1 ความต้องการของธุรกิจแต่ละประเภท
ก่อนอื่นควรทราบลักษณะการใช้งานของพื้นที่แต่ละส่วน เพื่อนำไปสู่การจัดวางโซนต่างๆ
ตามความสัมพันธ์ของการใช้สอย เช่น ธรุกิจบางประเภทเน้นการพบปกับลูกค้า มีการนำเสนองานบ่อยครั้ง ครั้งละหลายกลุ่ม
อาจมีความจำเป็นมากในการใช้ห้องประชุม จึงควรประกอบไปด้วยพื้นที่ห้องประชุมขนาดเล็ก – ใหญ่จำนวนมาก หรือกรณีธุรกิจบริการ
หรือธุรกิจขายตรงที่ไม่เน้นการประชุมภายใน แต่เน้นการออกพบปะกับลูกค้านอกสถานที่ จึงอาจใช้ส่วนประชุมสำหรับการประชุมภายในเท่านั้น
ในขณะที่บางธุรกิจอาจมีการพบปะลูกค้า แต่มีการประชุมไม่บ่อยนัก และเป็นการทำหน้าที่ของคนกลุ่มเดียว ไม่ซ้ำซ้อนกัน
ส่วนพักคอยจึงอาจมีความสำคัญเท่ากับส่วนประชุม สำหรับสำนักงานบางแห่งส่วนพักคอยอาจเป็นที่นั่งให้ผู้มาติดต่อเอกสารเท่านั้น
เพราะไม่เน้นการนัดพบภายในสำนักงาน เป็นต้น จากทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นวิธีจัดการเพื่อเรียงลำดับความสำคัญของพื้นที่ใช้งานในแต่ละส่วนให้เหมาะสมกับธุรกิจ
เป็นวิธีการคิดแบบคราวๆ ซึ่งอันที่จริงจะต้องทราบจำนวนผู้เข้าใช้ที่แน่นอนโดยละเอียดและพฤติกรรมของผู้งาน
หรื่อที่เรียกว่า USER BEHAVIOR เพื่อประโยชน์ต่อการออกแบบให้เหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการใช้พื้นที่
ส่วนการจัดวางตำแหน่งพื้นที่การใช้งานต่างๆ มีหลักการง่ายๆ คือ แยกพื้นที่ในกลุ่มของ PUBLIC กับส่วน PRIVATE
ออกจากกันเพื่อให้เกิดความเป็นส่วนตัวในขณะทำงาน เช่น
PUBLIC AREA : ส่วนต้อนรับ ส่วนพักคอย ส่วนห้องประชุม (มักอยู่ส่วนหน้าสำนักงาน)
PRIVATE AREA : พื้นที่ทำงาน
ตัวอย่างการจัดการกับพื้นที่ให้เหมาะสมกับธุระกิจแต่ละประเภท
การจัดผังบางครั้งใช้วิธีการแบ่งพื้นที่ใช้งานออกเป็นส่วนหลักๆ
คือ PUBLIC กับ PRIVATE ไว้ในทิศทางซ้ายและขวา ซึ่งช่วยให้เกิดความเป็นส่วนตัวมากขึ้นในขณะปฏิบัติงาน
ข้อสังเกตุ : บางครั้งการกำหนดโซนต่างๆ อาจแบ่งตามการออกแบบแต่ไม่จำเป็นต้องตามหลักการเสมอไป
เช่น หากมีการกำหนดคอนเซ็ปต์ในการออกแบบ (Design Concept) บรรยากาศภายในสำนักงาน การจัดพื้นที่ทั้งสองอาจต้องออกแบบ
ให้เป็นบรรยากาศเดียวกัน ไม่แยกตามพื้นที่ว่าเป็น PUBLIC หรือ PRIVATE เพื่อส่งเสริมให้เกิดภาพรวมที่ดูเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
2.2 จำนวนบุคลากรภายในองค์กร
ในบริษัท
หน่วยงาน หรือองค์กรแต่ละหน่วยงานอาจมีจำนวนบุคลากรไม่เท่ากัน ดังนั้นการทราบจำนวนบุคลากรที่แน่นอนจึงเป็นที่มาของการคำนวณหาขนาดพื้นที่สำหรับจัดตั้งสำนักงาน
โดยในที่นี้ได้นำเสนอพื้นที่ตามความต้องการในแต่ละหน่วยการทำงาน
ส่วนทำงาน : แสดงระยะมาตรฐานตามความต้องการจากสรีระมนุษย์
ข้อสังเกตุ : ในที่นี้การจัดวางเฟอร์นิเจอร์จะเป็นไปตามลักษณะรูปทรงของชุดโต๊ะทำงาน หรือ WORK
STATION นั้นๆ อาจมีลักษณะของการจัดแบบ MODULE คือเป็นกลุ่มก้อนหรือแบบคล้ายกัน แต่มีการกระจายแยกกันโดยไม่มีข้อกำหนดตายตัว
เพราะการจัดการกับพื้นที่อาจมีข้อกำหนดที่ต่างกัน เช่น บางบริษัทรู้ความต้องการทั้งหมดก่อนเลือกอาคารสำนักงานหรือก่อนปลุกสร้าง
จึงได้พื้นที่ใช้สอยในสำนักงานตามความต้องการ ในขณะเดียวกันบางบริษัทถูกจำกัดให้จัดการกับพื้นที่ที่มีอยู่
ดังนั้นการกำหนดพื้นที่และขอบเขตอาจมีการยืดหยุ่นตามสภาวการณ์แล้วแต่กรณี
ตัวอย่างการวางผังเฟอร์นิเจอร์ในพื้นที่ส่วนสำนักงาน
ข้อสังเกต : ควรคำนึงถึงเรื่องอุปกรณ์สำนักงานที่มีการใช้ไฟฟ้ามาเกี่ยวข้อง เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์
พริ้นเตอร์ หรือ อุกรณ์สื่อสารต่างๆ โดยวางแผนการจัดวางตำอหน่งอย่างชัดเจน เพราะบางสำนักงานอาจจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์เหล่านี้ร่วมกัน
ดังนั้นจึงควรคำนึงถึงความสะดวกในการใช้และความปลอดภัยเป็นหลัก
นอกจากพื้นที่สำนักงานที่มีลักษณะเปิดโล่ง (OPEN SPACE) แล้ว ยังมีส่วนของการจัดผังเฟอร์นิเจอร์ในลักษณะของห้องส่วนตัว
(PRIVATE ROOM) ซึ่งเหมาะสำหรับผู้บริหาร ผู้จัดการ หรือหัวหน้า
การออกแบบห้องประชุม
แสดงระยะมาตรฐานตามความต้องการทางสรีระของมนุษย์
เนื่องจากผู้ใช้งานแต่ละคนย่อมมีลักษณะการทำงานที่แตกต่างกันไปตามตำแหน่งและหน้าที่
ดังนั้นจึงต้องมีการออกแบบวางผังเพื่อกำหนดรูปแบบและจำนวนเฟอร์นิเจอร์ที่ใช้พร้อมไปกับการศึกษาถึงลักษณะการใช้งานพฤติกรรมของผู้ใช้ด้วย
เพื่อให้ได้ห้องทำงานที่ถูกใจและตรงกับความต้องการของผู้ใช้งานมากที่สุด นอกจากนี้ยังช่วยให้สำนักงานเกิดความสวยงาม
เป็นระเบียบ และปลอดภัย โดยเฉพาะงานระบบไฟฟ้า เพื่อรองรับเครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดต่างๆ ที่ต้องใช้ภายในห้อง
แสดงตัวอย่างลักษณะการจัดวางเฟอร์นิเจอร์สำหรับห้องทำงานส่วนตัว (EXECUTIVE ROOM)
ข้อสังเกตุ : ข้อควรคำนึงในการจัดวางผังเฟอร์นิเจอร์นั้น นอกจากความลงตัวทางความงามแล้ว ความสะดวกและใช้งานได้จริงก็มีความสำคัญไม่น้อย
เช่น ตำแหน่งของหน้าจอคอมพิวเตอร์ หากอยู่ในบริเวณช่องแสงอาจเกิดความสะท้อนจากแสงภายนอกและเงาสะท้อนจากดวงโคมภายในห้องนั้นเอง
ซึ่งก่อให้เกิดความรำคาญและเป็นอันตรายต่อสุขภาพตา
ออกแบบห้องประชุม
(CONFERENCE ROOM)
สิ่งจำเป็นแรกของการจัดพื้นที่นี้คือ ต้องทราบถึงจำนวนผู้เข้าใช้เพื่อจัดเตรียมจำนวนที่นั่ง อาจมีจำนวนมากน้อยขึ้นอยู่กับผู้กำหนดคือเจ้าของธุรกิจ
ซึ่งรู้ความต้องการพื้นฐานและพฤติกรรมของผู้ใช้ทุกคน อาทิ ใครคือผู้ใช้ มีจำนวนเท่าใด และใช้ทำอะไรบ้าง
สำหรับห้องประชุม นอกจากการพบปะพูดคุยแล้ว บางสำนักงานยังใช้เป็นสถานที่นำเสนอผลงาน จัดสัมมนา ฯลฯ นอกจากนี้ยังต้องคำนึงถึงเรื่องของอุปกรณ์ประกอบภายใน
ซึ่งส่งผลไปถึงการจัดการกับงานระบบไฟฟ้า ระบบปรับอากาศ ตำแหน่งของอุปกรณ์ต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้งาน
ระยะมาตรฐานตามความการทางสรีระมนุษย์
ปัจจุบันนอกจากโต๊ะสี่เหลี่ยมจัตุรัสและโต๊ะกลมแล้ว ยังมีโต๊ะรูปทรงอื่นๆ เช่น โต๊ะสี่เหลี่ยมผืนผ้าและโต๊ะรูปทรงเรือ (BOAT-SHAPED TABLE) และด้วยพัฒนาการทางเทคโนโลยี ทำให้สามารถผลิตวัสดุและอุปกรณ์ รวมถึงการทำโต๊ะรูปแบบต่างๆ ได้ตามความต้องการ
การจัดวางผังห้องประชุม
ข้อสังเกตุ : แนวคิดทางการออกแบบสามารถกำหนดรูปทรงของเฟอร์นิเจอร์ ซึ่งอาจแสดงออกถึงความเป็นทางการและไม่เป็นทางการได้อย่างชัดเจน
นอกจากนี้การเลือกวัสดุและการใช้สีสันต่างๆ ยังสามารถแสดงออกถึงภาพลักษณ์ของบริษัทได้อย่างชัดเจนอีกด้วย
ส่วนต้อนรับและพักคอย (RECEPTION AREA & WAITING AREA)
ปัจจุบันมีการให้ความสำคัญกับบทบาทการทำงานของบุคลากรที่รับผิดชอบแต่ละหน้าที่มากขึ้น อาทิ
พนักงานต้อนรับต้องสามารถเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทได้สูงสุด ดังนั้นบริเวณส่วนต้อนรับของบางสำนักงานจึงมีลักษณะเป็น
WORKSTATION คือเป็นโต๊ะทำงานไปด้วยในตัว ไม่ใช่เพียงแค่เคาน์เตอร์ต้อนรับแบบเดิมอีกต่อไป ด้วยลักษณะการทำงานดังกล่าวจึงสามารถแยกประเภทเฟอร์นิเจอร์ของพนักงานต้อนรับได้
2 รูปแบบ คือ เป็นทั้งเคาน์เตอร์และโต๊ะทำงาน
นอกจากส่วนต้อนรับแล้ว ภายในบริเวณพื้นที่นี้ยังจำเป็นที่ต้องมีส่วนพักคอยสำหรับผู้มาติดต่อ
โดยที่นั่งมีจำนวนมาก - น้อยนั้นขึ้นอยู่กับประเภทธุรกิจหรือความพอใจของเจ้าของสำนักงานเป็นหลัก
ระยะมาตรฐานของการจัดกลุ่มการนั่งในรูปแบบต่างๆ ของส่วนพักคอย
ข้อสังเกตุ : การเลือกเฟอร์นิเจอร์ในส่วนพักคอยนั้นบกบอกถึงระยะเวลาในการนั่งได้
ถ้าเห็นสมควรว่าจะต้องนั่งเป็นเวลานานก็ส่งผลต่อการเลือกเฟอร์นิเจอร์ ส่วนการระบุชนิดของวัสดุที่ใช้ในการออกแบบควรคำนึงไปในเรื่องที่เกี่ยวกับการใช้งานด้วย
แล้วจึงเลือกสีสันและรูปทรงเป็นลูกเล่นให้เข้ากับแนวความคิดในการตกแต่ง รวมทั้งของตกแต่งอื่นๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ควบคุมบรรยากาศของสำนักงานโดยรวม
Turn-Key
การจ้างเหมาแบบ Turn-Key หรือ การจ้างเหมาแบบเบ็ดเสร็จ
คือการที่เจ้าของโครงการว่าจ้างให้ผู้รับเหมาดำเนินการออกแบบและก่อสร้างโครงการให้แล้วเสร็จแต่เพียงรายเดียว สามารถช่วยให้ผู้ว่าจ้างสามารถติดตามงานและควบคุมคุณภาพให้ได้ตามที่ตกลงไว้
ข้อดีของการทำ Turn-Key คือ
1. ป้องกันปัญหาผู้รับเหมาไม่รับผิดชอบงาน
2. ป้องกันปัญหาเมื่อจ้างผู้ออกแบบแล้ว แต่ยังไม่มีผู้รับเหมาที่มีคุณภาพและไม่มีเวลาดูแลติดตามงานก่อสร้าง
3. ควบคุมงบประมาณไม่ให้บานปลาย
4. การออกแบบและก่อสร้าง ดำเนินงานตรงตามกำหนดเวลา
5. ลูกค้ามีส่วนร่วมในการออกแบบและเลือกวัสดุอย่างเต็มที่
ข้อเสียของการทำ Turn-Key
1. ผู้รับทำเทิร์นคีย์บางราย อาจจะไม่ดำเนินงานตาม Spec ที่ได้ตกลงกันไว้ และไม่มีผู้ตรวจสอบ
2. ถ้าลูกค้าว่าจ้าง Turn-Key ที่เป็นบริษัทเล็กหรือบริษัทเปิดใหม่ อาจจะทำงานได้ไม่มีคุณภาพและขาดประสบการณ์ในการควบคุมงานขนาดใหญ่ ในบางครั้งอาจจะสร้างความเสียหายตามมาและส่งผลต่อการควบคุมงบประมาณ
ดังนั้นการเลือกผู้จัดทำ Turn-Key จึงควรเลือกบริษัทที่มีประสบการณ์สูง จึงจะช่วยลดความเสี่ยงได้ หลักการทำงานแบบ Turn-Key ของ บริษัท อินดีไซน์ แอนด์คอนซัลแทนท์ จำกัด มีดังนี้
1. เจ้าของโครงการถ่ายทอดและเสนอความต้องการทั้งหมด รวมถึงปัญหาต่างๆ ที่เคยเจอมา ให้กับทางบริษัทอินดีไซน์ผู้รับออกแบบและก่อสร้าง
2. อินดีไซน์ จะนำ Requirement ที่ได้มาจากลูกค้า มาทำการวางแผน ออกแบบ Concept Design และนำเสนอ Budget ของทั้งโครงการ เพื่อนำเสนอให้กับเจ้าของโครงการประกอบการตัดสินใจ
3. เมื่อเจ้าของโครงการตัดสินใจเลือกอินดีไซน์เข้าทำเทิร์นคีย์แล้วนั้น ทั้งการออกแบบทางสถาปัตยกรรมและแบบก่อสร้างทางวิศวกรรม สามารถดำเนินไปพร้อมกันถ้ามีเวลาจำกัด และสามารถปรับเปลี่ยนได้ตาม concept ที่ต้องการและเพื่อจัดสรรให้อยู่ในงบประมาณ
4. ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับปัญหาผู้รับเหมาละทิ้งงาน ระยะเวลาการออกแบบและก่อสร้าง และกระบวนการทำงานอินดีไซน์จะดำเนินงานให้แล้วเสร็จภายในเวลาที่กำหนด
ทั้งนี้เอกสารประกอบการก่อสร้างงาน Turn-Key จะมีความสำคัญมาก เพราะจะมีการกำหนดพื้นที่บริเวณใดใช้วัสดุชนิดใด ตราสินค้าแบรนด์ใด ระยะเวลา ฯลฯ
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าการเลือก บริษัท อินดีไซน์ แอนด์ คอนซัลแทนท์ จำกัด ให้เป็นบริษัทผู้ดำเนินงาน Turn-Key ทั้งงานออกแบบและก่อสร้างนั้น สามารถช่วยให้ลูกค้าได้ดำเนินโปรเจคตามกำหนดเวลา ควบคุมงบประมาณ ภายใต้การออกแบบที่สวยงามตามความต้องการของลูกค้าได้อย่างครบถ้วน
การเลือกใช้วัสดุ
แนวทางการออกแบบและเลือกใช้วัสดุ
ในการตกแต่งส่วนต่างๆ ของสำนักงานเพื่อให้เกิดความสวยงามและดูเหมาะสมกับสถานที่ จึงควรศึกษาเรื่องโครงสร้างภายในและวัสดุที่ใช้ประกอบกับส่วนนั้นๆ
เพราะความหลากหลายของวัสดุในปัจจุบันช่วยให้เกิดรูปแบบการตกแต่งที่แปลกใหม่ แต่วัสดุบางประเภทก็ยังมีข้อจำกัดในการใช้งานซึ่งถ้าหากทราบถึงข้อจำกัดดังกล่าวก็จะทำให้การออกแบบสำนักงานเป็นไปได้ง่ายขึ้น
และยังช่วยประหยัดงบประมาณอีกด้วย
ไม่ว่าจะเป็นพื้น ผนัง หรือฝ้าเพดาน ซึ่งล้านแต่เป็นองค์ประกอบสำคัญในการตกแต่งอาคารมักมีการเลือกใช้วัสดุและรายละเอียดในการติดตั้งที่แตกต่างกัน
ดังนี้
เพดาน
(CEILING)
เพดานเปลือยเห็นงานโครงสร้าง คือ เพดานที่ไม่มีการทำฝ้าด้วยวัสดุปิดผิวชนิดใดๆ เป็นแนวทางหนึ่งของการออกแบบและตกแต่งที่กำลังนิยม
เหมาะกับสำนักงานที่ไม่ต้องการความเป็นทางการ เช่น บริษัทโฆษณา บริษัทออกแบบ หรือบริษัทออกแบบ หรือบริษัทค้าวัสดุก่อสร้าง
เป็นต้น ในขณะเดียวกันถ้าเป็นสำนักงานที่ค่อนข้างเป็นทางการ เช่น สำนักงานทนายความ หรือคลินิก อาจไม่เหมาะกับการเลือกใช้เพดานลักษณะนี้
ดังนั้นการออกแบบในลักษณะนี้จึงควรคำนึงถึงความปลอดภัยควบคู่ไปกับความสวยงาม สำหรับงานระบบท่อต่างๆ
ซึ่งปกติไม่จำเป็นต้องโชว์จะซ่อนอยู่ใต้ฝ้าเพดาน แต่อาจใช้เป็นส่วนหนึ่งของการออกแบบที่ตอบสนองทั้งความงามและฟังก์ชันควบคู่กันไปเหือนกับงานระบบอื่นๆ
อาทิ งานระบบไฟฟ้า งานปรับอากาศ และงานรักษาความปลอดภัยทุกชนิด ซึ่งต้องมีการวางผังเพื่อกำหนดทิศทางต่างๆ
ให้เหมาะสม โดยเฉพาะในเรื่องของความสวยงามควรเดินสายร้อยท่อเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยการกำหนดสีสันของท่อแต่ละประเภทนั้นอาจใช้เป็นส่วนหนึ่งของการออกแบบ
ด้วยการกำหนดหรือทำสีเดียวกันทั้งหมด แต่จำเป็นต้องแสดงสัญญาลักษณ์ เช่น ใช้คลิปสียึดระหว่างท่อกับเพดานเพื่อแยกความแตกต่างของงานระบบที่อยู่ในท่อแต่ละชนิด
สำหรับงานระบบแสงสว่าง ควรเลือกประเภทของดวงโคมซึ่งให้แสงสว่างที่เหมาะสมกับการทำงานเป็นหลัก
ในด้านความสวยงามสามารถเลือกใช้ดวงโคมซึ่งมีให้เลือกมากมายตามแต่วัสดุและสีสันเพื่อการสร้างบรรยากาศภายในสำนักงาน
วัสดุที่ใช้ทำฝ้าเพดาน
1. แผ่นยิปซัม เป็นวัสดุที่ใช้กันอย่างแพร่หลายสำหรับงานฝ้าเพดาน ซึ่งมีคุณสมบัติหลากหลาย
ทั้งชนิดธรรมดาแผ่นเรียบ ชนิดป้องกันแสง ชนิดป้องกันน้ำ ชนิดป้องกันความชื้น หรือแม้กระทั่งชนิดที่ทนไฟได้
ฯลฯ
ลักษณะการทำฝ้าเพดานมี 2 ระบบ คือ ระบบฝ้าเรียบเป็นการใช้แผ่นฝ้าขนาดใหญ่ยึดต่อกันทั้งพื้นที่
วิธีนี้สวยงามแต่เมื่อเกิดปัญหาต้องรื้อทำใหม่ทั้งห้อง ส่วนการเก็บรายละเอียดสามารถทำได้ด้วยการทาสีหรือใช้กระดาษปิด
(WALLPAPER)
ส่วนอีกระบบ คือ ฝ้าทีบาร์ ลักษณะของฝ้าจะถูกแบ่งออกเป็นช่องๆ แยกระหว่างวัสดุกับตัวโค้งอย่างชัดเจน
จึงมักเห็นเป็นรูปตัวที (T) กับแผ่นยิปซัม โดยทั่วไปตัวแผ่นมี 2 ขนาด คือ 60 x 60 เซนติเมตร วิธีการนี้ติดตั้งสะดวกรวดเร็วและง่ายต่อการซ่อมบำรุง
เพราะยกเปลี่ยนเฉพาะตัวยิปซัมได้ ปัจจุบันมีการพัฒนาทางการผลิต โดยใส่ลวดลายต่างๆ ลงไปบนแผ่นยิปซัม จึงทำให้ผลิตภัณฑ์เกิดความหลากหลายและน่าสนใจมากยิ่งขึ้น
2. แผ่นอะลูมิเนียม เป็นฝ้าที่ทำจากวัสดุอะลูมิเนียมมีหลายรูปแบบให้เลือกใช้ อาทิ แบบพับ แบบสาน
แบบเป็นช่อง แบบ CELL แบบ PERFORATE คือเป็นแผ่นเรียบเจาะรูทั่วแผ่น หรือแบบเป็นเส้นๆ กว้างประมาณ 10 เซนติเมตร
ฝ้าอะลูมิเนียมรูปแบบต่างๆ เหล่านี้ มีจำหน่ายในท้องตลาดทั่วไปและมีราคาสูงกว่าแผ่นยิปซัม แต่ด้วยวัสดุและคุณสมบัติของแผ่นฝ้าที่ทนต่อทุกสภาวะ
จึงสามารถใช้ได้ทั้งภายในและภายนอกอาคาร เนื่องจากระบบฝ้าชนิดนี้ขายเป็นชุดสำเร็จรูปจึงมีช่างผู้ชำนาญจากบริษัทเป็นผู้ติดตั้งให้
3. วัสดุตกแต่งทั่วไป เพื่อให้เป็นไปตามแนวความคิดในการออกแบบ ยังมีวัสดุอีกมากมายที่เราสามารถนำมาประยุกต์เป็นองค์ประกอบในการตกแต่งฝ้าเพดานเพื่อความสวยงามและช่วยสร้างบรรยากาศให้กับสำนักงานได้
เช่น การทำฝ้าโดยใช้ระแนงไม้กับแผ่นฝ้าโปร่งแสง นอกจากจะได้แสงรำไรและเงาแล้ว ยังช่วยให้ฝ้าเพดานมีมิติมากขึ้น
หรือการเลือกใช้กระดาษวอลล์เปเปอร์ปิดทับบนแผ่นฝ้าเพดาน สร้างความแตกต่างด้านลวดลาย สีสัน และผิวสัมผัสเพื่อให้เกิดความน่าสนใจ
นอกจากนี้อาจเลือกใช้วัสดุประเภทกระจก แผ่นพลาสติก ผ้า ฯลฯ เข้ามาผสมผสานในกรตกแต่งตามแนวความคิดของผู้ออกแบบได้เช่นกัน
ข้อคำนึงของงานฝ้าเพดาน
1. ฝ้าเพดานที่เน้นโชว์โครงสร้างเหมาะสมกับห้องที่มีพื้นที่ค่อนข้างสูง โปร่ง โดยมีระดับพื้นถึงพื้นชั้นถัดไปมากกว่า
3 เมตร จึงจะทำให้ผู้ใช้อาคารเกิดความรู้สึกปลอดภัยและแลดูสวยงาม
2. ฝ้าเพดานเปลือยโชว์งานระบบซึ่งปกติจะซ่อนอยู่ใต้แผ่นฝ้า ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยและความงามควบคู่กันไป
ดังนั้นการวางผังท่อต่างๆ จึงต้องวางแผนให้ตอบสนองทั้งความงามและการใช้สอย
3. ควรเลือกใช้วัสดุทำฝ้าที่เหมาะสมกับสภาวะแวดล้อมภายในพื้นที่ เช่น อุณหภูมิ ความชื้น ความร้อน
ซึ่งเป็นตัวแปรหลัก
4. การเลือกใช้วัสดุและการออกแบบฝ้าเพดานควรคำนึงถึงระยะเวลา ความคงทน การดูแลรักษา การซ่อมบำรุง
เพื่อความสะดวกในการจัดซื้อ รวมถึงระยะเวลาในการติดตั้งและตกแต่งว่ามีผลกระทบต่อเวลาการทำงานและอื่นๆ หรือไม่
ระบบแสงสว่างกับงานฝ้าเพดาน
- เพดานเปลือยเห็นงานโครงสร้าง
เหมาะสำหรับอาคารที่มีระยะภายในสูงโปร่ง ดังนั้นการให้แสงสว่างจึงมักใช้ดวงโคมที่ห้อยลงต่ำได้ ในระยะที่ให้แสงสว่างพอเพียงสำหรับการทำงาน ซึ่งโคมห้อยปัจจุบันมีหลากหลายรูปแบบ ดังนั้นในการเลือกใช้จึงควรเป็นดวงโคมที่มีขนาดไม่ใหญ่หรือเล็กจนเกินไป สามารถเปรียบเทียบได้กับงานโครงสร้างที่เห็นขนาดของเพดาน นอกจากนี้การเลือกใช้วัสดุที่ใช้ทำดวงโคมอาจกำหนดให้สอดคล้องหรือตัดกับวัสดุที่เป็นโครงสร้างก็ได้
- เพดานตีฝ้า
กรณีฝ้าเรียบ อาจทำหลุมฝ้าเพื่อเน้นความสำคัญของพื้นที่บริเวณนั้นๆ โดยหลุมฝ้ามี 2 ลักษณะ
คือ
1. เป็นหลุมที่เซตขึ้นไปเพื่อให้เกิดระดับ มีการใส่แสงสว่างในระดับล่าง และอาจใส่โคมแขวน
ในระดับที่เซตเข้าไป
2. เป็นหลุมที่เซตเข้าไปเป็นหลืบสำหรับซ่อนไฟเพื่อเพิ่มบรรยากาศ และเน้นความสำคัญของ
พื้นที่นั้นๆ ด้วยไฟสีหรือแสงเงาบนฝ้าเพดาน
สำหรับฝ้าทีบาร์ การติดตั้งระบบแสงสว่างตามมาตรฐานทั่วไปนั้นสามารถใช้แผ่นโปร่งแสงครอบหลอดไฟไว้
หรือเป็นโคมไฟชนิดที่มีรีเฟรคเตอร์เป็นหน้ากาก ซึ่งตัวหลอดอาจเลือกเป็นแสงเดไลท์ (DAY LIGHT) หรือวอร์มไวท์
(WARM WHITE) หรืออาจเจาะฝ้าฝังโคมดาวน์ไลท์ (DOWN LIGHT) ก็ทำได้เช่นกัน
ผนัง
(WALL)
ผนังทาสี การใช้สีในการตกแต่งผนังสำนักงานช่วยสนองความรู้สึกและสร้างบรรยากาศภายในสำนักงาน นอกจากนี้สียังมีความสัมพันธ์กับระบบไฟฟ้า
การให้แสงสว่าง ซึ่งรูปแบบการใช้สีอาจก่อให้เกิดความรู้สึกขัดแย้งหรือคล้อยตามกัน ตามแต่วรรณะของสีและการเลือกใช้
ดังนั้นการเลือกสีจึงมีข้อควรพิจารณาดังนี้
1. สีสันสามารถช่วยให้ทัศนวิสัยที่แจ่มใส่ได้ดีเมื่อใช้สีอ่อนตัดกับสีแก่ สีสดใสตัดกับสีสดใส
สี โทนอุ่นตัดกับสีสดใส หรือสีโทนอุ่นตัดกับสีโทนเย็น เป็นต้น
2. จิตวิทยาสีกับระยะใกล้ไกล ซึ่งตามปกติสีโทนอุ่นได้แก่ สีแดง ส้ม และเหลือง ให้ความรู้สึก
ว่าใกล้สีเย็น คือ สีน้ำเงิน เขียว และม่วง ซึ่งให้ความรู้สึกห่างจากผู้ดูดังนั้นห้องที่มีขนาดกว้างเกิน
ความต้องการอาจเลือกใช้สีโทนอุ่น ซึ่งทำให้ห้องดูไม่กว้างจนเกินไป และสำหรับห้องที่คับแคบ อาจเลือกใช้สีโทนเย็น
ให้บรรยากาศสบายไม่อึดอัด
3. การนำสีมาใช้กับพื้นที่ผนังทั้งหมดอาจดูไม่น่าสนใจ การเลือกทาสีเพียงบางส่วนโดยเล่นกับสี
พื้น อาจทำให้การทาสีสันนั้นๆ ดูน่าสนใจยิ่งขึ้น
4. การใช้สีเข้มจับคู่กับสีอ่อนจะทำให้มองเห็นเด่นชัด มีชีวิตชีวามากกว่าการใช้สีที่มีค่าความเข้ม
เท่ากัน
5. ไม่ควรทาสีเดียวในพื้นที่ที่กว้างมากเกินไป เพราะจะทำให้เกิดความรู้สึกเบื่อเร็ว
6. สำหรับเนื้อที่ที่กว้างมากไม่ควรทาสีสด แต่ควรเลือกสีอ่อน และสีที่ลดค่าของสีแล้ว เช่น สีฟ้า
หม่น สีไข่ไก่ จะทำให้ห้องดูอบอุ่น น่าอยู่
ข้อคำนึงของการใช้สีทาผนังเพื่อตกแต่งภายใน
1. ไม่ควรเลือกใช้สีที่มีเงาสะท้อน เช่น สีน้ำมัน สีอะครีลิก เป็นต้น เพราะสีเหล่านี้มีการสะท้อนแสงมากเกินไป
อาจก่อให้เกิดอาการเคืองตา ซึ่งเป็นอันตรายต่อสายตาของผู้อาศัยภายในห้องนั้นเป็นเวลานานๆ สำหรับสีที่ควรใช้ในสำนักงานคือ
สีพลาสติก
2. การเลือกสีไม่ควรใช้สีที่จืดชืดหรือหม่นหมองเกินไป เช่น สีเทา สีม่วง เพราะจากการวิเคราะห์ทางจิตรวิทยาสีพบว่า
ทำให้เกิดอารมณ์ซึม มึน และง่วงนอน
3. การใช้สีทาสำนักงานนั้น ยิ่งบริเวณพื้นที่มากอย่างผนัง ควรเลือกสีประเภทสวยงาม สบายตาไม่ฉูดฉาดเกินไป
เพียงแต่เน้นใช้สีสดใสเฉพาะส่วน เช่น เฟอร์นิเจอร์ หรือฉากกั้น ซึ่งจะช่วยให้บรรยากาศโดยรวมดูสดใสได้เช่นกัน
4. การเลือกทาสีสดใสกับผนังต้องนึกเสมอว่าสำนักงานเป็นเสมือนหน้าตาของธุรกิจนั้นๆ ด้วยนอกจากความสวยงาม
ความสบายตาแล้ว ควรต้องคำนึงผู้พบเห็น เช่นบุคคลภายนอกที่เข้ามาติดต่อด้วย
จิตวิทยาสีกับความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป
สีแดง ความก้าวร้าว ร้อนแรง ตื่นเต้น และความกล้าหาญ สามารถดึงดูดสายตามากที่สุด
สีเหลือง แสดงความสดชื่น มีชีวิตชีวา ความศักดิ์สิทธิ์ ความสว่างไสว
สีน้ำเงิน แสดงความเยือกเย็น สง่าผ่าเผย วังเวง สงบเงียบ ลึกซึ้ง
สีม่วง แสดงความเยือกเย็น สงบเงียบ บางครั้งดูลวงตา
สีเขียว คล้ายสีน้ำเงิน ให้ความรู้สึกเป็นกลาง แต่แนวโน้มรู้สึกสงบ แสดงความหวัง
สีส้ม แสดงความเร้าใจ รู้สึกอึดอัด อบอุ่น ค่อนข้างร้อนแรง บาดตาบางครั้ง
สีชมพู แสดงความร่าเริง บริสุทธิ์ ไร้เดียงสา แสดงเกียรติยศ อำนาจ ความเป็นผู้ดี
สีน้ำตาล แสดงความอบอุ่น แห้งแล้ง มั่นคง เศร้า
สีขาว แสดงความบริสุทธิ์ สุภาพ เกียรติยศ สันติภาพ
สีดำ แสดงความเงียบเหงา เศร้าใจ ความกลัว ความตาย ความมืด ความทรุดโทรม
การทาสีผนังนั้นเป็นการตกแต่งพื้นผิวที่สะดวก รวดเร็วรวมทั้งดูแลรักษาไม่ยาก แต่กรณีซ่อมบำรุงอาจต้องกระทำใหม่ในคราวเดียวพร้อมกัน
มิเช่นนั้นจะทำให้เกิดเป็นจุดด่าง ส่วนในเรื่องของค่าใช้จ่าย วิธีการทาสีใหม่พร้อมกันทั้งหมดนั้นถือว่าใช้งบประมาณไม่มาก
ผนังวอลล์เปเปอร์ กระดาษติดผนังหรือในท้องตลาดเรียกกันทั่วไปว่า “วอลล์เปเปอร์” ปัจจุบัน 2 ชนิด
คือ ชนิดหลังผ้าและหลังกระดาษ วิธีการติดตั้งไม่ยุ่งยาก เพียงแต่ต้องปรับพื้นที่ให้เรียบ จากนั้นการใช้กาวลาเท็กซ์ทาจนทั่ว
แล้วจึงติดกระดาษลงไปอย่างประณีตโดยไม่ให้มีฟองอากาศ ผนังจะเรียบและได้ลวดลายตามที่เลือกไว้ แต่การเลือกวอลล์เปเปอร์มีข้อควรคำนึงดังนี้
1. หากเป็นกระดาษที่มีลวดลาย เวลาติดควรระวังการต่อลายให้ทั้งริมกระดาษและลายต่อเป็นผนังผืนเดียวกันเพราะกระดาษลวดลายเหล่านี้มีความกว้างจำกัด
2. สำหรับพื้นที่ซึ่งมีความชื้น ไม่ควรเลือกใช้วอลล์เปเปอร์เพราะความชื้นจะทำให้กระดาษโปร่งออกและเห็นเป็นเม็ดฟองอากาศ
แลดูไม่สวยงาม
3. การดูแลรักษาเหมือนผนังทั่วไป แต่มีการซ่อมบำรุงเช่นเดียวกับการทาสี คือต้องเปลี่ยนใหม่ทั้งห้อง
เพราะสีจะซีดและผิดไปจากสีแผ่นใหม่ แม้จะอยู่ในรหัสของลายและสีเดียวกันก็ตาม
ข้อดีของการใช้วอลล์เปเปอร์
- ติดตั้งได้รวดเร็ว
2. มีสีสัน ลวดลายมากมาย และปัจจุบันมีการเพิ่มลูกเล่นของผิวต่างๆ เพื่อช่วยสร้างบรรยากาศให้หลากหลายมากขึ้น
3. ราคาไม่สูงมาก ขึ้นอยู่กับการเลือกใช้วัตถุดิบที่นำมาผสานใช้
4. มีจำหน่ายทั่วไปในห้องตลาด
ข้อเสีย ไม่ทนต่อความชื้น การบำรุงรักษาต้องเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด สิ้นเปลือง
ผนังกรุไม้ เป็นการนำเนื้อแท้ของวัสดุคือไม้มาทำโครงคร่าวและตกแต่งเป็นผนังไม้ ซึ่งทำได้หลายลักษณะ
ได้แก่
1. ตีเป็นผนังเรียบทั้งผืน
2. ตีเป็นผนังฝาไม้แบบแนวตั้งเซาะร่อง
3. ตีเกล็ดแนวนอนและแนวตั้ง
นอกจากหลักข้างต้นแล้ว ยังเพิ่มลูกเล่นด้วยการเจาะช่องการใส่เกล็ดระบายอากาศ หรือการทำเกล็ดเลื่อน
ผนังไม้หรือผนังกรุไม้ มีข้อดี คือ บำรุงรักษาง่าย คงทน แข็งแรง และสามารถเลือกเนื่อสีของไม้มาใช้ได้อย่างตรงความต้องการ
งานไม้ถือเป็นงานฝีมือ ดังนั้นจึงใช้งบประมาณการติดตั้งค่อนข้างสูงกว่าผนังแบบอื่น แต่งานผนังไม้นี้เหมาะกับทุกสภาวะแวดล้อม
จึงได้รับความนิยมอย่างมาก เหมาะกับสำนักงานค่อนข้างเป็นทางการ ให้บรรยากาศที่ดูสุภาพ ขรึมและอบอุ่น
ผนังกระเบื้อง หิน การตกแต่งผนังในสำนักงานด้วยกระเบื้องหรือหินต่างๆ อาจเลือกใช้ตกแต่งเฉพาะส่วนใดส่วนหนึ่งเพื่อเล่นพื้นผิว
สีสัน และความต่างของผนัง ข้อดีของการใช้กระเบื้องหรือหินคือความคงทนและแข็งแรง แต่ราคาค่อนข้างแพง อีกทั้งการซ่อมบำรุงรักษาเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก
แม้การดูแลรักษาจะง่ายและสะดวกก็ตาม การเลือกใช้จะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ
การเล่นพื้นผิวด้วยหินนั้นมักตกแต่งบริเวณส่วนต้อนรับหรือส่วนรับแขก แต่ไม่นิยมนำมาใช้กับผนังภายในทั่วไป
เพราะสร้างความรู้สึกอึดอัดและหนักเกินไป
ประเภทของกระเบื้องและหินที่นิยมนำมาใช้ในการตกแต่ง ได้แก่
- กระเบื้องเซรามิก ชนิดที่มีลวดลายนูดต่ำ หรือมีผิวสัมผัสคล้ายหิน และอื่นๆ
2.
กระเบื้องดินเผา ให้ความรู้สึกสบายตา ไม่เหมาะกับผนังผืนกว้าง แต่เหมาะกับพื้นที่ขนาดเล็กมากกว่า
3.
กระเบื้องโมเสก เป็นการตกแต่งที่ให้อารมณ์สนุกสนาน น่าสนใจ ปัจจุบันมีชนิดโปร่งแสงและโมเสกแก้วให้เลือกใช้
4.
หินแกรนิต มีหลายสีให้เลือก แต่จะดูขรึมและหนักจึงไม่เหมาะกับผนังทั้งห้อง
5.
หินอ่อน ดูคลาสสิก หรูหรา แต่มีราคาค่อนข้างสูง
6.
หินธรรมชาติ โดยมากนำมาใช้สร้างจุดเด่นให้กับผนังเฉพาะส่วน
7.
หินเทียม หินสังเคราะห์ การติดตั้งง่ายกว่าหินจริง แต่ราคาค่อนข้างสูง
ผนังกรุผ้า โดยมากใช้ในส่วนห้องประชุม คือ ผ้าเป็นวัสดุที่สามารถดูดซับเสียง ป้องกันการสะท้อนได้ดีในระดับหนึ่งแต่เมื่อทำการบุผ้าแล้วยังต้องมีการเสริมฟองน้ำใยโพลีเอสเตอร์เข้าไปในเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดูดซับสียง
ทำให้ห้องนั้นกลายเป็นห้องเก็บเสียงได้เป็นอย่างดี
การทำผนังบุผ้ามักทำเป็นลักษณะผนังแยกชิ้นกันมาประกอบรวมกัน การออกแบบสามารถกำหนดเลือกสีสันและลวดลายลงบนผืนผ้าบุเหล่านี้มีมากมายหลากสีสัน
หลายลักษณะเนื้อผ้าให้ผู้ออกแบบสามารถเลือกได้ตามต้องการ
การดูแลรักษาไม่อยาก มีเพียงการดูดฝุ่น และด้วยพัฒนาการทางการผลิตปัจจุบันในท้องตลาดมีผ้าบุชนิดกันน้ำ
บางชนิดมีความสามารถกันไฟได้ในระดับหนึ่ง
ผ้าเป็นวัสดุ หนึ่งที่นำมาประยุกต์ใช้กับการตกแต่งภายในได้ ดังนั้นวิธีการติดตั้งจึงไม่มีรูปแบบที่ตายตัว
การขึงเฟรมให้ผ้าสามารถพลิ้วไหวหรือการซ่อนไฟก็ล้วนทำได้ทั้งสิ้นดังนั้นการออกแบบกับการเลือกผ้าเป็นวัสดุนั้นไม่จำเป็นต้องทำเพื่อการใช้ส้อยหรือการเก็บเสียง
แต่หากทำเพื่อความงามได้ซึ่งถือเป็นอิสระในการออกแบบ ขึ้นอยู่กับวิธีและเทคนิค
ผนังกระจก กระจกมีทั้งประโยชน์ใช้สอยและความงามอยู่ในตัวของวัสดุเอง กระจกเป็นวัสดุที่สามารถสร้างความรู้สึกได้ให้ความโปร่งโล่ง
หรูหรา และนำสมัยได้ภายใต้พื้นที่เดียวกัน
กระจกมีหลายชนิดที่นิยมใช้กัน ได้แก่
1.
กระจกเงา ช่วยทำให่ห้องแลดูกว้างขึ้น แต่การเลือกใช้ควรพิจารณาให้ดี เพราะหากติดโดยรอบหรือหลายด้านอาจทำให้อึดอัดและกลายเป็นห้องคับแคบไปได้เช่นกัน
รวมทั้งในการติดตั้งควรคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก ต้องแน่ใจว่าแน่นหนาพอ และไม่อันตรายกับผู้ใช้งาน โดยเฉพาะบานกระจกที่กว้างและสูง
2.
กระจกใส เป็นการกั้นพื้นที่ให้เป็นสัดส่วน แต่ไม่กั้นความเป็นส่วนตัว ดังนั้นกระจกใสจึงไม่เป็นที่นิยมนัก
ถึงแม้ว่าความใสจะไม่ทำให้รู้สึกอึดอัดกับสเปซขนาดเล็กก็ตาม
3.
กระจกฝ้า ปัจจุบันเป็นวัสดุที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงโดยเฉพาะเมื่อจับคู่กับวัสดุจำพวกโลหะด้วยแล้ว
ให้ความรู้สึกที่ดูทันสมัยยิ่งขึ้น
4.
กระจกเพื่อการตกแต่ง เช่น แบบ WIRE GLASS หรือแบบอื่นๆ ปัจจุบันมีหลากหลายรูปแบบให้เลือกใช้ อาทิ
แบบแกะลาย พ่นทราย ทำสีสัน ใส่ลวด และอื่นๆ
งานกระจกเป็นงานที่ใช้งบประมาณค่อนข่งสูง และจำเป็นต้องใช้ความระมัดระวังตั้งแต่การขนย้าย การติดตั้งจนถึงขณะใช้งาน การดูแลรักษาไม่ยากเหมือนวัสดุอื่นทนการขีดข่วน สำหรับผนังควรเลือกใช้กระจกชนิด TEMPERED คือกระจกที่ผ่านกรรมวิธีความร้อนสูง เวลาแตกจะแตกเป็นเม็ดเล็กๆ จับตัวกัน ไม่ร่วงหล่นออกมาจนเป็นอันตราย
กระจกมีทั้งความสวยงามและความน่าใช้ แต่กลับเต็มไปด้วยความไม่ปลอดภัย ดังนั้นต้องรู้จักเลือกใช้สอยให้ถูกกัลพื้นที่และกาลเทศะ เพราะการซ่อมคือการทำใหม่ทั้งหมดเช่นกัน
พื้น
(FLOOR)
วัสดุสำหรับงานพื้นสำนักงานเหมือนกับวัสดุพื้นภายในทั่วไปทั้งคุณสมบัติและการดูแลรักษา
ในที่นี้จะอ้างถึงวัสดุแต่ละชนิดว่ามีลักษณะความเหมาะสมกับการเลือกใช้ เพื่อสร้างบรรยากาศและให้กับธุรกิจแต่ละประเภท
พรม พื้นพรมเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย พรมในสำนักงานแบ่งตามประเภทการติดตั้ง มี 2 ชนิด คือ พรมแบบ
WALL TO WALL และแบบ TILE บางสำนักงานเลือกใช้พรมแบบ WALL TO WALL เพราะราคาถูกกว่า โดยเฉพาะสำนักงานที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่
แต่ในกรณีที่มีการปรับพื้นที่เรียบแล้วจะเหมาะกับชนิด TILE มากกว่า ซึ่งมีขนาดมาตรฐานที่ 50x50 เซนติเมตร
มีราคาค่อนข้างสูง แต่ติดตั้งสะดวงและรวดเร็วกว่า
ประโยชน์ของพรมที่เด่นชัดคือ การเก็บและดูดซับเสียงไม่ว่าจะเป็นสียงใดๆ ที่มีการกระทบ
เสียงเท้า เสียงกระแทก และอื่นๆ
สำหรับการดูแลรักษาใช้วิธีการดูดฝุ่น แต่กรณีที่ทำชากาแฟหกเลอะเกิดคราบสกปรก พรมชนิด
WALL TO WALL ต้องเปลี่ยนทั้งผืน แต่พรมชนิด TILE สามารถเลือกเปลี่ยนเฉพาะแผ่นและยังนำไปซักทำความสะอาดได้ด้วย
เนื่องจากพื้นเป็นระนาบนอนที่กว้างและใหญ่ ดังนั้นการเลือกสีสันของพรมจึงควรอยู่ในโทนสีกลางๆ
อย่าให้ฉูดฉาดบาดตาหรือทึบทึมจนเศร้า อาจเป็นสีที่หม่นหรือสีประเภทลดค่าความเข้มลงแล้วจะเหมาะสมกว่า
ไม้ พื้นไม้สามารถแบ่งได้ตามลักษณะการปูพื้น ได้แก่ การปูเข้าร่องลิ้น การปูแบบเว้นร่อง การปูด้วยปาร์เกต์ลวดลายต่างๆ
นอกจากนี้ไม้ยังมีหลายสี ความเข็ม - อ่อนขึ้นอยู่กับชนิดของไม้การเลือกใช้ขึ้นอยู่กับความเหมะสมและงบประมาณ
ไม้เป็นวัสดุปูพื้นที่ค่อนข้างทนทาน การดูแลรักษาจึงใช้การเช็ดถูด้วยน้ำปกติ แต่สิ่งที่ควรพึงระวังคือปลวก
ดังนั้นสำหรับพื้นไม้จึงจำเป็นต้องใช้น้ำยาเพื่อรักษาเนื้อไม้
สำนักงานที่เลือกปูพื้นด้วยไม้จะให้บรรยากาศของความเป็นบ้านและให้ความรู้สึกอบอุ่น ดังนั้นการใช้ไม้ปูพื้นจึงไม่เหมาะกับสำนักงานที่ต้องการความเป็นทางการ
กระเบื้องยาง เหมาะสำหรับพื้นสำนักงานที่มีการกระแทกการขนของเคลื่อนย้ายอย่างสม่ำเสมอ หรือการเหยียบย่ำจำนวนมาก
เป็นวัสดุปูพื้นที่มีความทนทาน ติดตั้งง่าย รวดเร็ว ประหยัด อีกทั้งยังมีราคาไม่สูง ปัจจุบันกระเบื้องยางได้รับการออกแบบให้มีลวดลายและสีสันมากมาย
ทั้งลายไม้ ลายหิน ซึ่งเลียนแบบธรรมชาติ แต่มีข้อด่อยคือ เมื่อใช้ไประยะเวลานานๆ จะเกิดการล่อนลอก นอกจากนี้พื้นกระเบื้องยางยังไม่เหมาะกับพื้นสำนักงานที่ได้รับแสงแดดตลอดเวลา
เพราะกระเบื้องบางชนิดนี้เมื่อถูกแสงแดดจะทำให้วัสดุซึ่งเป็นยางเสื่อมคุณภาพเร็ว
พื้นกระเบื้องยางสามารถดูแลรักษาด้วยการเช็ดถูทำความสะอาดทั่วไป ส่วนการซ่อมบำรุงก็ทำได้
แต่จะต่างกันก็เรื่องสีใหม่กับแผ่นเก่าที่ผ่านการใช้งานมาแล้ว
กระเบื้องเซรามิก สำนักงานโดยทั่วไปไม่นิยมเลือกใช้กระเบื้องปูพื้น เพราะจะเกิดเสียงรบกวนจากการเดิน
ซึ่งรบกวนสมาธิการทำงาน และยังมีพื้นผิวที่ลื่น ซึ่งเป็นอัตรายต่อผู้สวมใส่รองเท้าส้นสูง แต่สามารถเลือกใช้กับพื้นที่ส่วนหน้าหรือส่วนต้อนรับได้
ปัจจุบันมีการทำพื้นผิวและสีสันเลียนแบบธรรมชาติ ซึ่งเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการใช้วัสดุปูพื้นในงานตกแต่ง
เพื่อให้เกิดความหลากหลายมากขึ้น ข้อดีของการเลือกใช้กระเบื้องเซรามิก คือ ติดตั้งสะดวกและทำความสะอาดง่าย
สำหรับพื้นที่เลอะเทอะบ่อยครั้งสามารถล้างออกได้ด้วยน้ำยาทำความสะอาดพื้นตามปกติ
กระเบื้องดินเผา มีข้อจำกัดและคุณสมบัติเช่นเดียวกับกระเบื้องเซรามิก หากเป็นการออกแบบสำนักงานที่ต้องการสื่อถึงความเป็นตะวันออก บรรยากาศอบอุ่นแบบบ้าน หรือเน้นการตกแต่งแบบไทย ก็อาจเลือกใช้กระเบื้องดินเผาได้เช่นกัน
หินแกรนิต หินอ่อน หินขัด ภายในตระกูลหินทั้งหมด นอกจากความงาม ความทนทานแล้ว ยังควรคำนึงถึงราคาและการติดตั้ง
เพราะจะเป็นลักษณะงานติดตายไม่สามารถซ่อมแซมได้ รวมทั้งเกิดเสียงดังและลื่นเช่นเดียวกับกระเบื้อง แต่สำนักงานโดยมากจะเลือกใช้เลือกใช้ในบริเวณพื้นที่สาธารณะ
เช่น โถงทางเข้า โถงพักคอย เพราะเป็นวัสดุที่ดูดีมีราคา
ส่วนการดูแลรักษา ใช้การเช็ดถูด้วยน้ำเปล่าเช่นเดียวกับกระเบื้อง แต่หินอ่อนไม่ทนกรดและสารเคมี
จึงควรระมัดระวังเป็นพิเศษ
นอกจากนี้หินธรรมชาติยังมีพื้นผิวที่มันและเงา ในการเลือกใช้จึงต้องระมัดระวัง เช่นหินแกรนิตดำสนิทอาจเกิดเงาสะท้อน
ซึ่งไม่เป็นผลดีกับสุภาพสตรีที่ใส่กระโปรง อาจแก้ไขโดยการออกแบบเล่นลวดลายที่พื้น และใช้พื้นผิวที่แตกต่างกันมาปูสลับกัน
นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันการลื่นล้มได้อีกด้วย
พื้นซีเมนต์ขัดมัน เป็นพื้นที่มีราคาถูกกว่าพื้นชนิดอื่นๆ แต่ทำให้สวยงามได้ค่อนข้างยาก เพราะเป็นงานฝีมือ
ดังนั้นสำนักที่เลือกใช้พื้นชนิดนี้ในการตกแต่งจึงควรเป็นสำนักงานที่เน้นบรรยากาศสบายๆ แต่ให้ความรู้สึกทันสมัย
เช่น สำนักงานออกแบบ หรืองานโฆษณา เป็นต้น
ปัจจุบันมีวัสดุที่มีลักษณะคล้ายซีเมนต์ขัดมันคือ แผ่นวีว่าบอร์ด เป็นแผ่นซีเมนต์ผสมเยื่อไม้
ซึ่งมีหลายขนาดความหนา และนิยมใช้กันเป็นมาก เพราะติดตั้งและรื้อถอนได้สะดวก
วัสดุปูพื้นภายในสำนักงาน นอกจากที่กล่าวมานี้ยังมีพื้นเฉพาะที่เรียกว่า RAISED FLOOR
เป็นระบบพื้นชนิดหนึ่งที่ยกขึ้นจากระดับพื้นปกติ โดยประกอบด้วยขาตั้งปรับระดับกับแผ่นพื้นที่วางเรียงต่อกัน
สามารถรับน้ำหนักได้มาก ตัวแผ่นมีขนาดมาตรฐานคือ 60x60 เซนติเมตร เหมาะกับสำนักงานที่มีการใช้สอยไฟจำนวนมาก
เพราะ สามารถซ่อนเก็บสายไฟด้านล่าง ระบบพื้นประเภทนี้มีวัสดุปิดผิวทั้งที่เป็นไวนิลซึ่งมีลักษณะคล้ายกระเบื้องยาง
และแบบ PERFORATE ซึ่งประกอบด้วยรูระบายความร้อน โดยมากวัสดุเหล่านี้จะมีลักษณะของ ANTISTATIC คือไม่มีไฟฟ้าสถิต
แต่ระบบพื้นชนิดนี้มีราคาค่อนข้างสูง
การออกแบบสำนักงานแนวใหม่
ระบบปรับอากาศและระบายอากาศ การปรับอากาศกลายเป็นสิ่งจำเป็นอันดับต้นๆ สำหรับสำนักงานทั่วไป ซึ่งถือเป็นเครื่องช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้สูงขึ้น
เพราะความสามารถในการควบคุมอุณภูมิและความชื้นให้มีสภาพปกติ เกิดความสบาย อากาศได้รับการหมุนเวียนและกระจายความบริสุทธิ์ไปยัง
ส่วนต่างๆ อีกทั้งป้องกันฝุ่นละอองและเสียงรบกวนจากภายนอกอาคารได้ด้วย
ระบบปรับอากาศที่ใช้ในสำนักงานแบ่งออกเป็น 3
ชนิด
1.
AIR-CONDITIONING ได้แก่ เครื่องปรับอากาศชนิดติดหน้าต่าง (WINDOW UNIT) มีข้อดีคือราคาถูกกว่าระบบปรับอากาศแบบอื่นๆ
ติดตั้งง่าย และสามารถโยกย้ายเปลี่ยนสถานที่ได้ง่ายแต่จำเป็นต้องมีวิศวกรควบคุม ส่วนข้อด้อยคือ มีเสียงดัง
จึงเหมาะสมสำหรับติดตั้งบริเวณภายในที่มีขนาดใหญ่จนเกินไปนัก
2. SPLIT SYSTEM ระบบปรับอากาศแบบแยกส่วนคอมเพรสเซอร์ (COMPRESSOR) ออกจากแฟนคอยล์ (FAN COIL)
จึงทำให้
ไม่มีเสียงดังรบกวน และสามารถควบคุมอุณหภูมิแต่ละห้องได้ด้วย มีอายุการใช้งานยายนานกว่า แต่การติดตั้งค่อนข้างยุ่งยาก
และโยกย้ายลำบากกว่าเครื่องปรับอากาศชนิดติดหน้าต่าง
3. CENTRAL AIR-CONDITIONING SYSTEM ระบบปรับอากาศสำหรับอาคารใหญ่ๆ และมีพื้นที่กว้าง เป็นระบบที่ดีที่สุด
คือเงียบ
สามารถปรับอุณหภูมิได้ง่าย ทนทาน กินไฟน้อย ค่าใช้จ่ายในการติดตั้งถูกที่สุด แต่ตัวเครื่องปรับอากาศนั้นมีราคาแพง
ส่วนการติดตั้งและดูแลรักษายุ่งยากกว่าระบบปรับอากาศชนิดอื่นๆ
สำนักงานขนาดเล็กมักนิยมเลือกใช้เครื่องปรับอากาศแบบ SPLIT SYSTEM
มากกว่า เพราะติดตั้งง่ายและมีราคาถูกแต่เครื่องปรับอากาศชนิดนี้มีข้อจำกัดด้านความยาวของท่อน้ำยา ซึ่งมีความยาวมากไม่ได้
โดยทั่วไปควรมี
ความยาวประมาณ 6
เมตร เนื่องจากปัญหาเรื่องกำลังของคอมเพรสเซอร์ ซึ่งอาจเกิดเพราะน้ำมันหล่อลื่นที่ปนไปกับน้ำยา วิ่งไปแล้ว
ไม่กลับมาตกค้างอยู่ เพราะท่อน้ำยายาวมาก อาจทำให้คอมเพรสเซอร์ไหม้ได้
1.
ชนิดติดเพดาน
(AIR DIFFUSER) ที่มีอยู่ในปัจจุบันคือ แบบเหลี่ยม ทั้งสี่เหลี่ยมจัสตุรัสและสี่เหลี่ยมผืนผ้า
และในบางแห่งยังใช้วิธีการเจาะผ้าเป็นรูแทนหัวจ่าย ซึ่งดูเผินๆ จะมองไม่เห็น
2.
ชนิดติดข้างฝา
(AIR REGISTER) สามารถปรับลมทำมุมเอียงได้ 0 หรือ 45 องศา มีทั้งแนวนอนและแนวตั้ง เพื่อให้หันทิศทางลมและปรับลมพุ่งไปยังตำแหน่งที่ต้องการได้
หัวจ่ายแบบนี้จะใช้สำหรับพื้นที่ที่ไม่สามารถเดินท่อลมในฝ้าได้ ในกรณีที่ต้องการเดินท่อลอยแล้วตีกล่องไม้ทับ
หัวจ่ายจะต้องติดอยู่ที่ข้างกล่อง หรือเดินท่อแนบฝาผนังและเจาะช่องใส่หัวจ่ายเป่าลมเข้ามาในห้องโดยมีลักษณะการเป่าในแนวราบ
หัวจ่ายลมกลับ
(RETURN SYSTEM)
หลักการทำงานของระบบปรับอากาศคือ ลมที่เป่าออกจากตัวเครื่องจะต้องถูกดูดกลับเพื่อทำให้เป็นลมเย็น
แล้วจึงถูกส่งเป่าออกมาใหม่ เครื่องจึงต้องมีขนาดใหญ่มากจึงจะได้อากาศที่มีอุณหภูมิต่ำตามต้องการ ส่วนเรื่องอากาศอากาศบริสุทธิ์
หากติดพัดลมดูดอากาศเก่าออกไป
อากาศใหม่จะแทรกเข้ามา ดังนั้นจึงต้องการใช้ที่เป่าลมออกเพื่อให้ลมเดินทางกลับเข้าเครื่องได้อีก
ระบบไฟฟ้าและการใช้แสงสว่าง
ชนิดของระบบแสงสว่าง แบ่งคุณสมบัติของดวงโคมตามการกระจายของแสงตามแนวตั้งได้ 5 กลุ่ม
1.
Direct Lighting ให้ความเข้มของแสงได้ดีที่สุด จึงเหมาะกับห้องที่มีเพดานสูง ยิ่งเพดานสูงมากเท่าไร
ดวงโคมจะดูสว่างและ
โดดเด่นมากเท่านั้น
2. Indirect Lighting ให้คุณภาพดีที่สุด เพราะไม่ทำให้เกิดแสงบนระนาบของพื้นที่ทำงาน เป็นแสงที่เกิดจากการสะท้อนดังนั้นฝ้าเพดานจึงควรสะอาดและสะท้อนแสงได้ดี
ระบบแสงชนิดนี้มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง แต่ถ้าเพดานสว่างและดวงโคมมืดจะเกิดความแตกต่างระหว่างแสงกับฝ้าเพดานค่อนข้างสูง
3. Direct – Direct Lighting เป็นระบบแสงกระจายและให้แสงสม่ำเสมอที่สุด
4. Semi – Indirect Lighting บริเวณใกล้ดวงโคมจะมืดลงและให้แสงสว่างกว่าแบบ Direct Lighting
5. Semi – Direct Lighting ให้แสงสว่างมากกว่าแบบ Indirect และไม่ทำให้เกิดความแตกต่างของแสงระหว่างดวงโคมกับเพดานอีก
ทั้งต้นทุนยังถูกกว่าแบบ Indirect Lighting
ระบบแสงสว่างที่ดีเหมาะสมช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในที่นั้นๆ และยังช่วยเพิ่มความปลอดภัย
ในด้านความงามทางงาน
ออกแบบนั้น อาจนำเรื่องของแสงและเงามาใช้ เน้นสร้างบรรยากาศต่างๆ นอกจากนี้ดวงโคมออกแบบอย่างสวยงามทั้งรูปทรงวัสดุ
สีสัน การเลือกผสมผสานของวัสดุต่างๆ ยังสามารถนำมาตกแต่งเพิ่มชีวิตชีวาในบรรยากาศการทำงานได้อีกด้วย
ข้อมูลแสดงการสะท้อนของสีต่างๆ เพื่อใช้ประกอบการใช้สีภายในอาคาร
การจัดฮวงจุ้ยสำนักงาน
อาคารที่มีผลต่อธุรกิจการค้า และการประกอบการที่สำคัญอย่างหนึ่ง เป็นอาคารที่ได้รับการออกแบบที่ดีครบถ้วนทุกองค์ประกอบ
ทั้งสถาปัตยกรรมและการออกแบบภายใน ตลอดจนภาพลักษณืองค์กรที่ต้องได้รับการออกแบบควบคู่ไปด้วย เพื่อความเป็นเอกภาพขององค์กร
เพราะจะมีผลต่อการทำงานที่ทีประสิทธิภาพของบุคลากรแต่ละองค์กร โดยการออกแบบต้องคำนึงถึงเอกลักษณ์และธรรมชาติขององค์กรมากที่สุดด้วยความเข้าใจพฤติกรรมของบุคลากรทุกฝ่าย
ทุกตำแหน่งหน้าที่ตั้งแต่พื้นฐานการใช้งาน กิริยาบทที่เป็นลักษณะเฉพาะองค์กร ไปจนถึงลักษณะพิเศษที่นักออกแบบจะต้องสร้างสรรค์ให้เกิดประโยชน์มากกว่าการใช้สอยธรรมดา
นั่นจึงเป็นเหตุให้การออกแบบในปัจจุบันต้องมีแนวทางใหม่ๆ เพื่อทำให้องค์กรมีลักษณะโดดเด่นเฉพาะ พนักงานเกิดความรู้สึกภูมิใจในองค์กร
ให้ความน่าเชื่อถือทั้งจากลูกค้าและพนักงานด้วยกันเอง พนักงานเกิดความกระตือรือร้นในการทำงาน เป็นส่วนหนึ่งในการเสริมสร้างแบรนด์ขององค์กร
ไปจนถึงความพิเศษที่แสดงถึงวิสัยทัศน์ขององค์กรด้วยการออกแบบที่คำนึงถึงจิตวิทยาสภาพแวดล้อมมากที่สุด แนวทางการออกแบบสำนักงานแนวใหม่
มีข้อคำนึงสำคัญๆ ดังนี้
1. การค้นคว้าข้อมูลพื้นฐานก่อนการออกแบบ ประกอบด้วยแนวทางคือ
1.1 ศึกษารูปแบบการทำงานเฉพาะขององค์กร การประสานสัมพันธ์ติดต่อ ระหว่างบุคคลต่างๆ ในสำนักงานแต่ละแผนกทั้งพนักงานผู้บริหาร
ตลอดจนลูกค้าผู้มาติดต่ออย่างละเอียดครบถ้วน เพื่อนำมากำหนดเป็นพื้นที่ใช้สอย ทั้งพื้นที่ส่วนตัวของบุคลากร
ตลอดจนพื้นที่รวมขององค์กร การแบ่งสรรพื้นที่ การลำดับความสำคัญในการวางผังจำนวนตารางเมตรของแต่ละพื้นที่
1.2 ศึกษาลักษณะเฉพาะของธุรกิจ รูปแบบทางการค้าขายทั้งระดับปกติ จนถึงระดับพิเศษที่มีแบบฉบับเฉพาะตัว
ประเภทของสินค้าผลิตภัณฑ์ขององค์กร หรือลักษณะการให้บริการ
2. กำหนดแนวความคิดและไอเดียสร้างสรรค์เฉพาะตัว
2.1 กำหนดความเป็นเอกภาพของแนวความคิดทั้งองค์กร โดยมีการเชื่อมสัมพันธ์ของการออกแบบไปทุกส่วน ตั้งแต่กราฟฟิกดีไซน์
โลโก้ นามบัตร หัวจดหมาย เอกสารขององค์กร ทั้งหมดไปจนถึงเสื้อผ้าเครื่องแต่งการของบุคลากรทั้งหมด ซึ่งการออกแบบจะต้องสะท้อนแบรนด์
ลักษณะเด่นขององค์กรออกมา เช่น รูปแบบการให้บริการ รูปแบบการจัดการองค์กร การหารจัดการ โดยถ่ายทอดออกมาเป็นนามธรรม
แล้วพัฒนาเออกมาป็นรูปธรรมต่อไป คือ จากแนวความคิดเป็นรูปแบบเฉพาะนั่นเอง
2.2 กำหนดสัญลักษณ์ เริ่มตั้งแต่สัญลักษณ์ 2 มิติ สู่สัญลักษณ์ 3 มิติ เป็นการตีความจากตัวตนขององค์กร
แล้วสร้างสรรค์ออกมาเป็นรูปแบบที่จับต้องได้ ทั้งรูปร่าง รูปทรง พื้นที่ว่าง การจัดวางเฉพาะแนวความคิดหลักและการใช้สอย
2.3 มีที่มาที่ไป มีเหตุมีผล สามารถอธิบายได้
3. การจัดผังสำนักงาน
หลังจากได้ข้อมูลทางด้านบุคลากร การบริหารจัดการ ตำแหน่งหน้าที่ ลักษณะการใช้งานอย่างครบถ้วนแล้ว สามารถนำมาจัดพื้นที่ใช้สอยได้อย่างลงตัว
โดยลำดับการใช้งาน ลำดับตำแหน่งหน้าที่การประสานระหว่างบุคลากรและการทำงานแต่ละแผนก เริ่มต้นด้วยโซนใหญ่ๆ
หลังจากนั้นจึงย่อส่วนลงสื้นที่ส่วนตัวของทุกตำแหน่งบุคลากร ข้อคำนึงในการวางผังองค์กรมีดังนี้
3.1 คำนึงถึงวัฒนธรรมองค์กร ซึ่งแต่ละทุกชนชาติจะไม่เหมือนกัน ไปจนถึงวัฒนธรรมเฉพาะขององค์กร ซึ่งการวางผังต้องคำนึงถึงมาก
เพื่อให้การใช้งานมีประสิทธิภาพสูงสุด
3.2 คำนึงถึงสไตล์ในการทำงาน โดยเริ่มจากองค์รวมของสำนักงานไปจนถึงหน่วยย่อยที่เป็นพื้นที่ทำงานส่วนตัว
โดยยึดหลักเพื่อส่วนรวมมากกว่าส่วนตน โดยเฉพาะการจัดแบ่งพื้นที่ตามยศหรือตำแหน่งในองค์กร จึงควรมีการระดมสมองร่วมกันทั้งฝ่ายบุคคลอย่างเป็นเอกภาพ
โดยยึดหลักเสียสละมากกว่าการยึดพื้นที่ ซึ่งทำยากสำหรับองค์กรของไทย
3.3 มุมมอง ทัศนคติ และความเชื่อ ถ้าสามารถนำการออกแบบมาใช้ให้ประสบความสำเร็จสูงสุด การวางผังจึงต้องคำนึงถึงในข้อนี้เป็นพิเศษเพื่อให้ทุกตำแหน่งไม่มีมุมตาย
โดยนำวิธีจัดวาง การกั้นผนังเพื่อให้เกิดมุมมองใหม่ ในกรณีไม่สามารถให้ทุกมุมได้เห็นวิวทางธรรมชาติได้
โดยใช้วิธีจัดมุมมองทดแทน อีกเรื่องที่สำคัญคือ ความเชื่อ ทั้งของส่วนบุคคล และระดับองค์กร โดยเฉพาะเรื่องฮวงจุ้ยซึ่งควรใช้หลักเหตุและผล
หลักบุคลิกภาพและพฤติกรรมเป็นตัวนำมากกว่าความงมงาย
4. การสร้างบรรยากาศ
4.1 ให้เกิดบรรยากาศกระตือรือร้น แอคทีฟ ด้วยการใช้สีที่สดใสแต่ไม่ต้อง ถึงขนาดที่สีตัดกันรุนแรงให้มีความสุขุม
มั่นคง เกิดความเชื่อมั่น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับนโยบาย จุดเด่นขององค์กรด้วย จะเป็นสีอะไรก็ได้แต่ต้องเป็นสีที่เป็นเนื้อคู่กันจริงๆ
ตรงนี้ต้องปรึกษามัณฑนากร
4.2 การใช้แสงอย่างเหมาะสม ไม่ควรสลัวๆ มืดจนเกินไป แต่ควรรู้จักเน้นเป็นบางจุด และเกลี่ยแสงให้เท่าๆ
กันในบริเวณทำงาน โดยอาจจะมีแสงจากบริเวณโต๊ะด้วยโคมไฟตั้งโต๊ะหรือติดตั้งกับชุดโต๊ะทำงาน ที่สำคัญควรจะต้องออกแบบให้สามารถใช้แสงธรรมชาติให้มากที่สุด
4.3 รูปแบบ จะต้องขึ้นอยู่กับบุคลิก นโยบายองค์กร
5. การบริหารการใช้พลังงาน
ระบบการออกแบบที่ดีสำหรับสำนักงานแนวใหม่ควรคำนึงถึงการรู้จักใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การวางระบบปรับอากาศ
การวางระบบไฟฟ้า การคำนวณรีเสิร์ชการใช้งานในแต่ละพื้นที่ ซึ่งควรแยกระบบไฟปรับอากาศตามการใช้งาน ซึ่งไม่ควรเปิดทิ้งไว้ไม่ได้ใช้งานอาจจะออกแบบผนังบานเลื่อน
ออกแบบวางโซนของการติดตั้งเครื่องปรับอากาศตามการใช้งาน ตามช่วงเวลาที่ทำงานทั้งพร้อมกันและไม่พร้อมกัน
ไปจนถึงการรวมกันในการใช้งาน เช่น ชุดอินเทอร์เน็ตส่วนรวม ระบบการทำงานแบบรวมศูนย์มากกว่าแยกรวมแผนกไว้ด้วยกันบางแผนก
ลดทอนจำนวนคนที่กระจัดกระจาย รวมการบริหารให้องค์กรไม่กว้างจนควบคุมดูแลยาก เพื่อให้การบริหารมีระบบโดยไม่อุ้ยอ้าย
องค์กรใรอนาคตเน้นความคล่องตัวไม่เทอะทะ พนักงานมีศักยภาพ ทำงานได้มากกว่าที่เรียนมาเพียงสาขาเดียวสามาเรถปรับขยายศักยภาพได้
ดังนั้นระบบสำนักงานต้องมีการปรับเปลี่ยนขนาดใหญ่ในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ
แนวความคิดเกิดจากลักษณะเฉพาะของการบริหารจัดการ ระบบการผลิตของโรงงาน มาถ่ายทอดเป็นรูปลักษณ์และการวางผังไปจนถึงการเชื่อมโยงระหว่างสัญญาลักษณ์คือ
KK เพื่อการย้ำแบรนด์ของโครงการ เริ่มต้นจากจุดเล็กๆ และการใช้สอยภายในออกสู่รูปร่างภายนอก เส้นสายทุกเส้นประสานสอดคล้องกันอย่างเป็นเอกภาพ
โดยต่อเนื่องกันแบบ Infinity สะท้อนถึงการผลิตของเครื่องจักรที่ทำงานตลอด 24 ชั่วโมง
Green Innovation 1
Green Innovation
สำนักงานสีเขียว
Green Office Guidelines
Actions towards a low-carbon office
ปฎิบัติการสู่การลดการปล่อย คาร์บอนไดออกไซค์
โดย เดอะเนทเวิร์ค(ประเทศไทย)และ สถาบันสิ่งแวดล้อมสต๊อกโฮม
แรงบันดาลใจ
ภายใต้กระแสการทำ
CSR ในปัจจุบัน ได้เกิดความพยายามที่จะแยกการดำเนินงาน
CSR ออกเป็นภายใน (
In-Process) และภายนอก (
After Process) รวม ถึงภาคส่วนสังคม (
Post Process) หรือ การ ดำเนินงาน
CSR ดังที่
Michel E. Porter ได้ อธิบาย
CSR ผ่าน
Value Chain ประกอบ ด้วย
Inside-out Linkage หรือ
Outside-In Linkage อัน เป็นรูปแบบที่หลากหลาย ก็สุดแล้วแต่ว่าธุรกิจจะเลือกให้สอดคล้องกับความเหมาะสมของตนเองได้มากเพียง
ใด หากการดำเนินการดังกล่าวเกิดบนฐานแห่งความมุ่งมั่นในหลักการของการมุ่งการ พัฒนาธุรกิจไปสู่ความยั่งยืนอย่างแท้จริง
และดำเนินการภายใต้การทบทวนอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา ก็ย่อมช่วยนำจิตวิญญาณสู่องค์กรดังกล่าว เป็นองค์กรที่มีความรู้สึกร้อนหนาว
คำนึงถึงผู้คนที่อยู่ภายในองค์กร สังคมรอบข้าง ตลอดจนธรรมชาติสิ่งแวดล้อม นอกเหนือไปจากการคำนึงถึงเฉพาะผู้ถือหุ้น
และลูกค้าเป็นสำคัญ และสามารถนำพาพนักงานให้มีความสุข ความเก่ง และ ความดี ลูกค้ามีความพึงพอใจ ผู้ถือหุ้นมาร่วมกระทำความดีด้วยกัน
ภายใต้การดำเนินกิจการที่ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมเป็น ตัวตั้ง ผลิตสินค้าที่ไม่ส่งผลกระทบทางลบต่อความมั่นคงและยั่งยืนในการดำเนินชีวิตใน
ปัจจุบันและอนาคตของผู้คนบนโลกใบนี้ อีกทั้งยังสามารถสร้างสรรค์ผลสืบเนื่องสู่สังคมและสิ่งแวดล้อมให้มีคุณภาพ
(Creating Social Value Chain) อันสืบเนื่องจาก
"ธุรกิจ ไม่สามารถอยู่ได้ลำพังในสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ล้มเหลว
"
"สำนักงานสีเขียว
" อันเป็นแนวคิด หนึ่งที่ทำให้ธุรกิจ ได้มีโอกาสให้มีการนำ
CSR เข้ามา ใช้ ในการพัฒนาองค์กรทั้งระบบ หรือเรียกว่า
Integrated CSR
Green Office หมายถึง ระบบการดูแลสำนักงานให้เป็นมิตรต่อผู้ที่อาศัย
ต่อสภาพแวดล้อม และ เอื้ออาทรต่อสังคม โดยใช้ฐานความรู้เรื่อง
Carbon Footprint ที่ ทางมูลนิธิโลกสีเขียวเรียกว่า
"รอยเท้าฝากโลก
" ทำ ให้สามารถรับรู้ที่มาถึงสาเหตุทำให้โลกร้อน ด้วยการสืบสาวลึกเข้าไป ก็พบว่า การมุ่งบรรเทาปัญหานี้
ด้วยการลดปริมาณคาร์บอนไดออกไซค์ (
Co2) สู่โลกเท่านั้น อาจยังไม่เพียงพอ สิ่งสำคัญคือ จะทำอย่างไรให้มนุษย์ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันจะช่วยลดปริมาณการปล่อย
Co2 สู่ชั้นบรรยากาศ การทำ
Green Office จึง เป็น แนวทางหนึ่ง ซึ่งสามารถริเริ่มทำได้อย่างง่ายๆ และพัฒนาสู่ระดับการดำเนินการที่ลึกซื้งและมีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น
โดยเริ่มจากการลดปริมาณขยะในองค์กรลงเรื่อยๆ จนกระทั่งให้เหลือศูนย์ในท้ายสุด การใช้พลังงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
เป็นต้น
กระแสการรณรงค์เรื่องโลกร้อนของสังคมไทยในปัจจุบัน ยังคงวนเวียนอยู่กับการรณรงค์เรื่องการใช้ถุงผ้า หากว่าการรณรงค์การใช้ถุงผ้านี้ มิได้มุ่งเน้นการพัฒนาจิตสำนึกของผู้ใช้และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภค รวมถึงจิตสำนึกความรับผิดชอบและการเข้าถึงองค์ความรู้เรื่องการลด ละ และใช้สิ่งของให้เกิดประโยชน์สูงสูง การรณรงค์เรื่องการใช้ถุงผ้า
ดังกล่าวอาจนำไปสู่การเพิ่มปริมาณการปล่อย Co2 จากการผลิตถุงผ้า และการเพิ่มปริมาณถุงผ้าจากการครอบครองของแต่ละคน
อีกทั้งยังคงมีพฤติกรรมการใช้ทรัพยากรที่สิ้นเปลืองดังกล่าว
ดังนั้น หากทุกบริษัทหันมาทำความเข้าใจเรื่อง
Green Office เป็น กลยุทธ์ สำคัญในการบรรเทาภาวะโลกร้อน ด้วยการเริ่มลงมือทำกิจกรรมทุกประเภท
พร้อมๆไปกับการปรับพัฒนาพฤติกรรมของบุคลากรทีมีความเสี่ยงต่อการเพิ่มปริมาณ การฝากรอยเท้าไว้กับโลกใบนี้
ย่อมเป็นการช่วยสนับสนุนให้เกิดการทบทวนแนวทางการทำ
CSR ใน บริษัทว่าจะเลือกทำเพียง
In-Process หรือ
After Process หรือ จะหันมาทำ
Integrated CSR อัน เป็น แนวทางที่มุ่งสู่กระบวนทัศน์การพัฒนาที่ยั่งยืนและนำจิตวิญญาณสู่องค์กร
ธุรกิจนั้นๆ ให้เกิดการตระหนัก เรียนรู้ พัฒนาและปรับปรุง ด้วยการทำ
Green Office ของ ตนเอง และในกระบวนการนี้ องค์กรต่างๆ อาจได้พบนวัตกรรมที่นำไปสู่การคิดผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ
ที่ยั่งยืน นำเสนอสู่ตลาดเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคในการร่วมบรรเทาปัญหานี้ร่วมกัน อย่างแท้จริง
แนวดำเนินงานสู่ปฏิบัติการสำนักงานสีเขียว
การสร้างสรรค์ที่ทำงานสีเขียวนั้น อาจจะเริ่มอย่างง่ายๆ และ
ไปสู่การทำให้เกิดเป็นระบบที่ชัดเจน เกิดและมีแนวร่วมจากพนักงานทุกคนในองค์กรดำเนินชิวิตในที่ทำงาน โดยเริ่มจากไม่ต้องมีการใช้งบประมาณ
จนถึงขั้นการกำหนดนโยบายบริษัท โดยมีปัจจัยความสำเร็จในการจัดการ Green Office คือ
- Rethink คิดใหม่ ปรับเปลี่ยนทัศนคติให้ความสำคัญเรื่องการใช้ทรัพยากรในสำนักงานอย่างคุ้มค่า คุ้มราคา
- You are not alone...you need partnerships for success. ต้องแสวงหาภาคีการส่งต่อทรัพยากรที่ใช้จาก ที่ทำงานของคุณ และ การเพิ่มองค์ความรู้
ปฏิบัติการที่ 1: ปฏิบัติ การใช้ทรัพยากรให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
(เรื่องง่ายแต่ทำยาก หากไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม)
อุปกรณ์สำนักงาน
ตรวจ สอบการใช้อุปกรณ์ต่างๆ ทุกชนิดในสำนักงานให้เกิดประโยชน์สูงสุด และต้องพยายามที่จะใช้อุปกรณ์แต่ละชิ้นให้มีอายุการทำงานที่ยาวนานที่สุด
เช่น
- Computer ตั้งแต่จนการเรียนรู้การใช้ คำสั่งต่างๆ ของแต่ละโปรแกรมให้ได้มากที่สุด เพื่อเป็นการพัฒนานิสัยการใช้อุปกรณ์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
- เก้าอี้ โต๊ะสำนักงาน ใช้อย่างทะนุทนอม ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ที่มีราคาถูกหรือแพง เพื่อให้มีอายุการใช้งานยาวนานแทนการต้องซื้อหาใหม่ในระยะเวลาอันสั้น และ การต้องทิ้งเสีย
พลังงาน น้ำ และไฟฟ้า
- คนละไม้คนละมือ ปฎิบัติการ ลด ละ เลิก การบริโภคพลังงานให้สิ้นเปลือง
- ก่อน ตัดสินใจใช้ทรัพยากรตัวใด คิดถึงแหล่งที่มา ว่ามีกระบวนการผลิตที่ได้ดึงเอาทรัพยากรในอนาคตมาใช้มากน้อยหรือไม่ ควรเลือกใช้ให้น้อย หรือ ไม่ใช้เลยหากมีตัวเลือกอื่นๆ
การจัดการวัสดุที่ใช้แล้ว (ขยะ)
- วัสดุที่ใช้แล้ว ก่อนทิ้งคิดให้ดีว่า จะนำสิ่งนั้นไปใช้ทำอย่างไร
- การจัดการขยะให้ถูกวิธี
- ใช้ของให้เกิดขยะน้อยทีสุด
- รวมพลังตัว Rs (ตามตารางข้างล่างนี้)
พลังตัว Rsในองค์กร |
ตัวอย่าง |
Reuse
|
นำ กระดาษมาใช้ 2 หน้า,ถุงใช้ซ้ำ, นำกระดาษที่ใช้แล้วหน้าเดียวนำหน้าที่เหลือมาใช้ในการพิมพ์งานภายในหรือการ ใช้ถ่ายเอกสารและการรับ fax |
Refuse
|
การปฏิเสธ ไม่ใช่วัสดุ ที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม
|
Recycle
|
แยกขยะ,ถุงพลาสติก,ถุงผ้า,ขวดแกลลอน
|
Repair
|
ของใดเสียสามารถซ่อมได้ก็ซ่อม,
|
Reduce
|
ประหยัดไฟและน้ำ,ลดพลังงาน,ลดใช้กระดาษในการทำข้อสอบใช้ E-mail แทนการส่งจม.ด้วยกระดาษ |
Replace
|
ใช้หลอดประหยัดไฟ
|
Remain
|
จัดซื้อเลือกของดีใช้นาน ราคาถูก,
|
Replenish & Refill
|
เติมหมึกปริ๊นในตลับหมึกเก่า |
Green Innovation 2
ปฏิบัติการที่ 2 ปรับ ปรุงอาคารสำนักงานAction 1 ปรับสภาพที่ทำงานให้ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
- การเปิดช่องแสงของอาคารให้มากขึ้นกว่าปกติเพื่อจะได้ใช้ของฟรีจากแสง ธรรมชาติ ลดการใช้ไฟฟ้าภายในออฟฟิศให้น้อยลง
- การ ออกแบบแสงสว่างภายใน เราอาจจะลดจำนวนดวงโคมและกำหนดให้แสงสว่างน้อยลงกว่ามาตรฐานทั่วไป แต่จะเลือกใช้โคมไฟตั้งโต๊ะแทน สำหรับใช้เปิด-ปิดตามการใช้งานจริง เปิดเฉพาะบริเวณที่ใช้งาน และปิดในส่วนที่ไม่ได้ใช้งาน
- การ ติดตั้งอุปกรณ์ตรวจจับความเคลื่อนไหว เพื่อเปิด-ปิดเครื่องใช้ไฟฟ้า ในส่วนที่เป็นพื้นที่การใช้งานร่วมกัน เช่น ห้องประชุม แพนทรี ห้องเก็บเอกสาร หรือจะเป็นส่วนอื่นๆแล้วแต่ความเหมาะสมของแต่ละออฟฟิศ
- การนำฉนวนกันความร้อนมาใช้ติดตั้งกับฝ้าเพดาน และผนังอาคารที่กระทบกับความร้อนโดยตรง
- การออกแบบให้มี "ห้องประชุมแบบเอ๊าท์ดอร์ " (Outdoor Meeting) ไว้ในสวนพักผ่อนของออฟฟิศ เพื่อลดการใช้ไฟฟ้า และเครื่องปรับอากาศ และเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศของการประชุมที่ไม่เป็นทางการนัก
- เลือกใช้จอคอมพิวเตอร์แบบ LCD แทนการใช้จอแบบ CRT เพื่อ ประหยัดพลังงาน
- แม้กระทั่งอุปกรณ์เครื่องใช้สำนักงาน ก็เลือกใช้แบบ "รี ฟิล " (Refill) เพื่อลดปริมาณ
Action 2
ปรับ หรือเปลี่ยนฉนวนกันแสง (Insulation)
ลด ปริมาณความร้อนที่ดูดซับผ่านหลังคา ผนัง พื้นและ หน้าต่าง เพื่อช่วยลดภาระการระบายความเย็นของระบบ
ปรับอากาศ วิธีดังต่อไปนี้ทำให้ประหยัดพลังงาน
a) สำหรับ ผนัง พื้น เพดาน และ หลังคา ประหยัดพลังงานได้ประมาณ 5-10%
- ติด ตั้งฉนวนกันความร้อนทั้งภายในและภายนอกอาคาร (External Insulation and Finishing System-EIFS, ไฟเบอร์กลาส โฟม PU) ซึ่งจะช่วยปกป้องความร้อน
- ทาสีหลังคาและกำแพงด้านนอกด้วยสีขาวจะสะท้อนความร้อนและรักษาความเย็นภายใน ตึกได้
b) สำหรับหน้าต่าง ประหยัดพลังงานได้ 5-10%
- ติดตั้ง หน้าต่างประเภท double- or triple-glazed (2-3 ชั้น)
- ทำการติดตั้งผ้าม่านหน้าต่างแบบตอบสนองต่อ(ปรับมุมตาม)แสงแดดและการเปลี่ยน แปลงอุณหภูมิทั้งภายในและภายนอกอาคาร
- ทำ การจัดวางตำแหน่งของหน้าต่าง ในตำแหน่งที่มีไม่รับแสงแดด โดยตรง(ใต้ร่มเงาไม้)จะป้องกันการดูดซับความร้อนโดยตรง และภาระเครื่องปรับอากาศภายในห้อง
Action 3
ปรับปรุง ระบบหมุนเวียนของอากาศ และ ระบบไฟส่องสว่าง
ควร มีการระบายอากาศที่ดี และ ใช้แสงอาทิตย์ โดยตรงให้ได้มากที่สุด ซึ่งจะช่วยให้ไม่ใช้ไฟฟ้า
และ เครื่องปรับอากาศมากเกินไป และเป็นการประหยัดพลังงาน
การ จัดการระบบระบายอากาศที่ดีและใช้แสงสว่างธรรมชาติจนถึงที่สุด โคมไฟและเครื่องปรับอากาศของคุณจะไม่ต้องทำงานอย่างหนัก
และ จะไม่กินพลังงานมากไฟฟ้า ดังนั้น.
a) ปรับระบบเครื่องปรับอากาศ ประหยัดพลังงานได้ประมาณ 10-30%
- เครื่อง ปรับอากาศระบบเก่านั้นไม่ประหยัดไฟ หากถึงเวลาที่ต้องการเปลี่ยน ควรเลือกใช้ระบบปรับอากาศที่ประหยัดพลังงานที่มีประสิทธิภาพ(เครื่องปรับ อากาศเก่านั้นทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพโดยเปรียบเทียบจากค่าไฟฟ้ากับปริมาณ ความเย็นที่ได้ความเย็น)
- เครื่อง ปรับอากาศแบบใหม่บางชนิดที่ใช้ก๊าซธรรมชาติ หรือ มีระบบหล่อเย็นด้วย ก๊าซธรรมชาติ หรือ ความร้อน ที่ระบายทิ้ง โดยระบบใหม่นั้นมีประสิทธิภาพมากกว่าการใช้ระบบหล่อเย็นแบบไฟฟ้า
b) ระบบการหมุนเวียนอากาศธรรมชาติ ประหยัดพลังงานได้ประมาณ 5-15%
- ถ้า อุณหภูมิระหว่างอากาศภายในและภายนอกมีความแตกต่างกันมาก เครื่องปรับอากาศจะต้องใช้พลังงานมากในระบบทำความเย็น (เพื่อเปลี่ยนอากาศร้อนจากภายนอกให้เป็นอากาศเย็นภายในห้อง/อาคาร) ติดตั้งเครื่องปรับอากาศและตัวมอเตอร์ให้ห่างกันมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
- ติดตั้งเครืองระบายความร้อน ซึ่งจะช่วยลดอุณหภูมิของอากาศจากภายนอก และยังช่วยลดการทำงานของระบบทำความเย็นของเครื่องปรับอากาศด้วย
c) ระบบส่องสว่าง ประหยัดพลังงานได้ประมาณ 3-8%
- ติดตั้ง ระบบแสงสว่างที่ประหยัดพลังงาน ซึ่งจะช่วยประหยัดได้ 5-10 เท่า (เปลี่ยนจากหลอดไส้เป็นหลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนต์)
- ระบบแสงสว่างที่ประหยัดพลังงานจะช่วยลดการผลิตความร้อนและช่วยลดความต้องการ ใช้ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศ
ปฏิบัติการที่ 3 กำหนด นโยบายลดการปล่อย CO2
ทุกองค์กรสามารถทำได้โดยไม่จำเป็นต้องเสียค่าใช้จ่ายเลย ท่านสามารถดำเนินการดังต่อไปนี้
ข้อพิจารณาที่
1
ติดตาม ตรวจสอบการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของหน่วยงานของท่าน
ทำความเข้าใจลักษณะการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ขององค์กรของท่านใน ปัจจุบัน แล้วจึงวางแผนการลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
a) วางระบบการประติดตามประเมินผล ด้วยการกำหนดหน่วยวัดค่าการปล่อยคาร์บอนไดอ๊อกไซค์ในกิจกรรมต่างๆ
ดังนี้
- การเดินทางทั้งทางอากาศและทางบก เช่น ไมล์ กิโลเมตรของการเดินทาง
- เครื่องใช้และอุปกรณ์ เช่น หน่วยไฟฟ้า ลูกบาตรเมตรของน้ำ
- การใช้กระดาษ เช่น จำนวน รีม
- การเลือกซื้อสินค้าและบริการ
- การจัดการขยะและนำกลับมาใช้ใหม่
b) คำนวณการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ขององค์กรและจัดทำรายงานผล
- คำนวณค่าการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ต่อกิจกรรมต่างๆ เช่น
สูตร
การปล่อย Co2 จากการเดินทาง = ไมล์ของการเดิน x ตัวแปรค่าปล่อย Co2
(ติดตามรายละเอียดในงานเสวนาเดอะเนทเวิรค์ ครั้งที่ 2/2552)
- กำหนดระดับการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (โดยเปรียบเทียบกับปีที่แล้วหากไม่มีของปีที่แล้วให้เริ่มหาค่ามาตราฐานปี แรก
- จัดทำรายการผลการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ปีละครั้งหรือสองครั้งเพื่อ ประเมินผลว่าได้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้หรือไม่
c) Calculate carbon emissions and publish an Office Emissions Report
- Calculate carbon emission by items (i.e. CO2 emission by air-travel = miles travelled X emission factor; more details to come in the Green Office Seminar)
ข้อพิจารณาที่
2
จัดทำ กลไกในการลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
วาง แผนกลไกในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และดำเนินการตามนโยบายสิ่งแวดล้อมเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
ซึ่งอาจจะทำได้ดังต่อไปนี้
a) กำหนดเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งอาจจะเป็นการทำในระดับองค์กร
ระดับโครงการ หรือระดับบุคคลก็ได้ และทำโดยสมัครใจหรือบังคับก็ได้ ซึ่งสามารถกำหนดเป้าหมายจากกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งเพียงอย่างเดียวก็ได้
b) ใช้ระบบการสั่งการเพื่อดำเนินการ ส่งต่อข้อมูลเกี่ยวกับการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในระดับบุคคล
โครงการ หรือทั้งองค์กร เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้
c) สร้างแรงจูงใจ โดยการให้รางวัลสำหรับการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เช่น ให้ของขวัญหรือโบนัสกับผู้ที่เสนอวิธีการลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
ที่ดีและนำมาใช้ได้
Design Inspiration
In Design and Consultant Co., Ltd. ได้ทำการออกแบบและตกแต่งภายในให้กับทางลูกค้าแล้วนั้น ถ้าจากเดิมลูกค้ามีค่าใช้จ่ายต่างๆในสำนักงาน 30,000 บาท ต่อเดือน ลูกค้า จะลดรายจ่ายได้ 78% = 6,600 บาท ต่อเดือน ใน 1 ปีทางลูกค้าจะมีเงินเหลือในบัญชี 6,600x12 = 79,200 บาท ในส่วนนี้ยังไม่รวมถึงที่ลูกค้าช่วยกัน Save World, Save Lift อีกด้วย
Green Space Innovation Plus
ปัญหาสิ่งแวดล้อมในสำนักงาน
ปัญหาสิ่งแวดล้อมในสำนักงานมีมากมาย ปัญหาหนึ่งที่เป็นสาเหตุสำคัญทำให้เกิดภาวะโลกร้อนคือ การใช้พลังงานอย่างไม่มีประสิทธิภาพ ทำให้มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปริมาณสูง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการใช้ไฟฟ้าสำหรับระบบปรับอากาศ แสงสว่าง และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งการใช้วัสดุอุปกรณ์สำนักงานอย่างฟุ่มเฟือย
ประโยชน์ที่จะได้รับเมื่อเป็นสำนักงานสีเขียว
1. ประโยชน์โดยตรงก็คือ การลดค่าใช้จ่ายในสำนักงาน จากการลดค่าไฟฟ้า ปริมาณกระดาษที่ใช้แล้วและอื่นๆ
2. ลดมลภาวะทางอากาศและน้ำ ลดการตัดต้นไม้ การสร้างจิตสำนึกและการมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม
3. มีส่วนทำให้บุคลาการมีความภาคภูมิใจและมีกำลังใจในการทำงาน
4. ภาพพจน์ที่ดีต่อองค์กร ปัจจุบันการใช้คุณธรรมหรือความดีเป็นแนวทาง ในการดำเนินธุรกิจถือว่าเป็นสิ่งจำเป็น
และเป็นแนวโน้มของโลก ที่ผู้ประกอบการทั้งหลายควรจะยึดถือและปฏิบัติ เนื่องจากหากทุกองค์กร ใช้แนวทางนี้ในการดำเนินธุรกิจ
สิ่งที่ได้กลับมาคือ ความเจริญและ ภาพพจน์ที่ดีขององค์กร
5. สร้างรายได้และส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นแนว โครงการสำนักงานสีเขียว ไม่เพียงแต่จะทำให้บุคลากรเกิดความภาคภูมิใจเพราะมีส่วนร่วมเท่านั้น
แต่องค์กรยังสามารถสร้างรายได้ จากการที่ลูกค้าพิจารณาเลือกซื้อสินค้า และบริการจากองค์กรที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม
จึงส่งผลให้องค์กร มีกำไรมากขึ้น
6. ผลประโยชน์ของผู้บริโภคที่จะได้รับจากราคาสินค้าที่ถูกลงและมีคุณภาพ
การออกแบบสำนักงาน
RECEPTION AREA เป็นจุดที่เข้ามาแล้วเจอที่ส่วนตอนรับ และเชื่อมกับ TOWN HALL ภายในให้บรรยากาศดุโลงโปรง สบายๆ ตกแต่งโดย การเปิดฝ้าเพดาน